การติดตั้ง Volume Activation Services บน Windows Server 2012 R2 เพื่อทำ KMS Host สำหรับใช้แอคติเวต Windows 10

0

ผมมีเครื่องพีซีระบบ Windows อยู่ในความดูแลมากกว่า 100 เครื่องกระจายอยู่ใน 5 อาคาร และยังต้องติดตั้ง Windows ใหม่ค่อนข้างบ่อยจากเหตุผลต่างๆ นาๆ ทำให้ต้องทำการเปิดใช้งาน (Activate) Windows ใหม่เป็นประจำ ดังนั้นเพื่อลดภาระงาน (ให้ตัวเอง) ผมจึงใช้ Key Management Service (KMS) ในการเปิดใช้งาน Windows โดยอัตโนมัติ ซึ่งได้ผลที่น่าพอใจ เพราะปริมาณงานการเปิดใช้งาน Windows ลดลงอย่างมาก จึงคิดว่าน่าจะนำประสบการณ์ดังกล่าวนี้มาแบ่งปันเพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ดูแลระบบ (โดยเฉพาะมือใหม่) ในการใช้ KMS ทำการเปิดใช้งาน Windows ครับ

ดังที่ทราบกันว่าโดยเริ่มต้นแล้ว Windows แบบโวลุ่มไลเซนส์ (Volume License หรือ VL) จะทำการเปิดใช้งาน (Activate) ผ่านทาง KMS ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการปรับใช้งาน Windows ในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นจำนวนมากและซื้อซอฟท์แวร์ไมโครซอฟท์แบบโวลุ่มไลเซนส์ โดยบทความนี้ผมจะแสดงวิธีการติดตั้ง KMS เพื่อใช้เปิดใช้งาน Windows 10 โดยอัตโนมัติครับ

หมายเหตุ: Windows 10 โวลุ่มไลเซนส์มี 3 รุ่น คือ รุ่น Education, Enterprise และ Professional นะครับ

Key Management Service (KMS)
เริ่มต้นด้วยการแนะนำให้ได้รู้จัก KMS กันพอสังเขป ดังนี้ครับ

Key Management Service หรือ KMS เป็นบริการสำหรับใช้จัดการการเปิดใช้งานแบบ Volume Activation (VA) ภายในองค์กร โดยโฮสต์ KMS (หรือ Hosts กรณีใช้เซิร์ฟเวอร์มากกว่า 1 ตัว) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเปิดใช้งาน Windows โดยเครื่องที่ทำหน้าที่เป็นโฮสต์ KMS นั้นจะต้องทำการเปิดใช้งานกับไมโครซอฟท์ก่อนจึงจะสามารถให้บริการเปิดใช้งานแก่เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ได้ ซึ่งเครื่องลูกข่าย Windows แบบโวลุ่มไลเซนส์จะทำการติดต่อกับโฮสต์ KMS เพื่อเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ (Activate transparently) โดยที่ผู้ดูแลระบบหรือผู้ใช้ไม่ต้องดำเนินการใดๆ

ประโยชน์ของ Key Management Service
การเปิดใช้งาน Windows ผ่านทาง KMS มีประโยชน์หรือข้อดีคือ

  1. การปรับใช้งาน Windows เวอร์ชันใหม่ทำได้สะดวก รวดเร็ว และง่ายขึ้น
  2. ช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่สนับสนุนด้านไอทีหรือผู้ดูแลระบบไอที

วางแผนการทำ Volume Activation
ในการที่จะตั้งโฮสต์ KMS เพื่อให้บริการเปิดใช้งาน Windows นั้น คุณควรวางแผนให้รอบคอบก่อนลงมือดำเนินการเพื่อว่าการทำงานจะได้เป็นไปด้วยความราบรื่น โดยมีสิ่ง (อย่างน้อย) ที่คุณต้องพิจารณา คือ

1. เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับใช้เป็นโฮสต์ KMS
คุณสามารถใช้ได้ทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์จริง (Physical Computer) และคอมพิวเตอร์เสมือน (Virtual Machines) ที่สำคัญคือจะต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ไม่เช่นนั้นคุณจะต้องเปิดใช้งานผ่านทางโทรศัพท์

ข้อนี้คุณสามารถเลือกใช้งานแบบใดก็ได้แล้วแต่ความสะดวก สำหรับผม-ผมเลือกใช้คอมพิวเตอร์เสมือนเพราะดูแลบำรุงรักษาง่ายและประหยัดงบประมาณ (อันนี้คือเหตุผลสำคัญ)

2. ระบบปฏิบัติการที่จะใช้เป็นโฮสต์ KMS
สำหรับการเปิดใช้งาน Windows 10 ผ่านโฮสต์ KMS นั้นคุณสามารถใช้ Windows 10 หรือ Windows Server 2012 R2 โดยมีข้อแตกต่าง

KMS ใน Windows 10 สามารถใช้เปิดใช้งาน Windows 10 และ Windows กอนหน้า เช่น 8.1 8 และ 7 ได้

KMS ใน Windows Server 2012 R2 สามารถใช้เปิดใช้งาน Windows 10 และ Windows ก่อนหน้า เช่น 8.1 8 7 และ Vista ได้ และ Windows Server 2008 ถึง Windows Server 2012 R2 รวมถึง Office 2013

สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะใช้เป็นโฮสต์นั้น สามารถใช้ได้ทั้งเครื่องที่ไม่ได้เป็นสมาชิกโดเมนและเป็นสมาชิกในโดเมน แต่การใช้เครื่องโดเมนมีข้อดีกว่าคือคุณอาจไม่ต้องตั้งค่าอื่น เช่น DNS เนื่องจากระบบโดเมนจะทำให้โดยอัตโนมัติครับ

สำหรับข้อนี้ ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้ใช้ KMS ใน Windows Server 2012 R2

3. Activation Threshold
การเปิดใช้งาน Windows ผ่านโฮสต์ KMS นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ตามเงื่อนไขหรือที่เรียกว่า Activation Threshold ที่ไมโครซอฟท์กำหนด ซึ่งนับจากจำนวนการร้องขอทำการเปิดใช้งานที่โฮสต์ KMS ได้รับจากเครื่องลูกข่าย ซึ่งค่า Activation Threshold ของ Windows Server ต้องมีอย่างน้อย 5 เครื่อง ส่วนค่าของ Windows (ลูกข่าย) ต้องมีอย่างน้อย 25 เครื่อง

ข้อนี้สำหรับบรืษัทขนาดใหญ่คงไม่มีปัญหาแต่ถ้าเป็น SME ขนาดเล็กที่มีเครื่องไม่ถึง 25 เครื่องอาจต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีเปิดใช้งานด้วย MAK แทน (ขออนุญาตแนะนำแยกต่างหากในภายหลังครับ)

นอกจากนี้ คุณยังต้องพิจารณาถึงความสามารถในการรองรับการเปิดใช้งาน Windows ของโฮสต์ KMS ด้วย โดยโฮสต์ KMS 1 ตัว สามารถรองรับการเปิดใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ได้พร้อมกันไม่เกิน 99 เครื่อง ดังนั้นถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่า 99 เครื่องอาจต้องใช้มากกว่า 1 โฮสต์

ด้านล่างคือแนวทางการคำนวณจำนวนโฮสต์ KMS ครับ

  1. บริษัทขนาดเล็ก มีคอมพิวเตอร์ 1-99 เครื่อง ใช้ KMS Host 1 เครื่อง
  2. บริษัทขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีคอมพิวเตอร์ 100 เครื่องขึ้นไป ใช้ KMS Host มากกว่า 1 เครื่อง

สำหรับข้อนี้ จากประสบการณ์ที่ใช้งาน ผมคิดว่าถึงแม้ว่าจะมีคอมพิวเตอร์มากกว่า 100 แต่ใช้โฮสต์ KMS เพียง 1 เครื่องก็สามารถรองรับการเปิดใช้งานได้ (และจัดการง่ายกว่า) เนื่องจากในการใชงานจริงไม่ได้เปิดเครื่องพร้อมกันที่เดียว แต่ถ้ามีทรัพยากรมากพอจะใช้หลายโฮสต์ก็ไม่ว่ากันครับ

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว คุณยังต้องวางแผนเกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานดังนี้

  • หมายเลขผลิตภัณฑ์ KMS (KMS Key เป็นคนละตัวกับ Setup Key นะครับอย่าเข้าใจผิด) ซึ่งคุณเข้าไปดูได้จากเว็บไซต์ Volume License Service Center (VLSC) ของไมโครซอฟท์
  • ต้องมีบัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิ์ในการจัดการ แอคทีฟไดเร็กตอรีโดเมน (Active Directory Domain Services) และ DNS Server ได้ ถ้าไม่มีคุณอาจต้องขอร้องให้ผู้ที่มีสิทธิ์เป็นคนทำการตั้งค่าต่างๆ ให้กับคุณ
  • ต้องมีเครื่อง Windows 10 แบบโวลุ่มไลเซนส์ (Education, Enterprise และ Professional) อย่างน้อย 25 เครื่อง

ด้านบนนี้เป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีในการเปิดใช้งาน Windows 10 ผ่าย KMS Host ซึ่งเป็นเพียงความต้องการระบบบางส่วน (ไม่ใช่ทั้งหมด) ของการใช้งาน KMS คุณสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ในข้อมูลอ้างอิงครับ

ข้อมูลระบบ
ข้อมูลของเครื่องเซิร์ฟเวอร์และพีซีที่ใช้อ้างอิงในบทความนี้ครับ
1. เซิร์ฟเวอร์ Windows Server 2012 R2 รุ่น Standard เป็นคอมพิวเตอร์เสมือนบน Hyper-V
2. เครื่องพีซี Windows 10 รุ่น Enterprise (Volume License)
3. เซิร์ฟเวอร์ Windows Server 2012 R2 เป็นสมาชิกของแอคทีฟไดเร็กตอรีโดเมน (Active Directory Domain)

ติดตั้ง Volume Activation Services สำหรับใช้ทำ KMS Host
หลังจากจัดเตรียมระบบต่างๆ พร้อมแล้ว มาลงมือทำ KMS Server กันเลยครับ

การติดตั้ง KMS นั้นจะต้องทำการเปิดใช้งาน Volume Activation Services ซึ่งเป็นหน้าที่ (Role) บน Windows Server 2012 R2 การติดตั้งนั้นทำได้หลายวิธีแต่ในที่นี้ผมจะใช้ Server Manager โดยให้คุณทำตามขั้นตอนดังนี้

1. ลงชื่อเข้า Windows Server 2012 R2 ด้วยบัญชีที่มีสิทธิ์ผู้ดูแลระบบ (Administrator) จากนั้นเปิด Server Manager โดยคลิกไอคอนบนแถบงาน จากนั้นคลิก Add roles and features ซึ่งจะได้หน้า Add Roles and Features Wizard ดังรูปที่ 2

รูปที่ 1

2. ในขั้นตอน Select installation type ให้เลือก Role based of features based installation แล้วคลิก Next

รูปที่ 2

3. ในขั้นตอน Server Selection ให้เลือก Server from server pool จากนั้นคลิกเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการใช้เป็น KMS Host แล้วคลิก Next

รูปที่ 3

4. ในขั้นตอน Select server roles ให้เลือก Volume Activation Services ระบบจะแสดงหน้า Add features are required for Volume Activation Services คลิก Add features (ให้ใช้ค่าตามที่ระบบกำหนดให้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ) จากนั้นจะกลับมายังหน้า Select server roles ให้คลิก Next

รูปที่ 4

รูปที่ 5

5. ในขั้นตอน Volume Activation Services คลิก Next

รูปที่ 7

6. บนหน้า Confirm installation selections คลิก Install แล้วรอจนการติดตั้งแล้วเสร็จ

รูปที่ 8

รูปที่ 9

7. หลังจากติดตั้ง Volume Activation Services เสร็จจะกลับมายังหน้าต่าง Server Manager

รูปที่ 10

รูปที่ 11

8. ในขั้นตอน Select Volume Activation Method ให้เลือกประเภทการเปิดใช้งาน (Activation type) ที่ต้องการ ซึ่งมี 2 แบบ Active Directory Based Activation และ Key Managements Service (KMS) โดยในที่นี้ผมเลือกแบบ KMS เสร็จแล้วคลิก Next

ทั้ง 2 วิธีมีข้อแตกต่างดังนี้
Active Directory Based Activation: เป็นการเปิดใช้งานโดยใช้ Active Directory Domain Services (AD DS) เป็นตัวจัดเก็บ activation objects ซึ่งช่วยให้การเปิดใช้งาน Windows ในสภาพแวดล้อมแบบโดเมนทำได้ง่ายขึ้น โดยเครื่องลูกข่ายจะทำการร้องขอการเปิดใช้งานในขณะเปิดเครื่อง การActive Directory-based ไม่ต้องการโฮสต์เพิ่ม (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ในข้อมูลอ้างอิง)
Key Managements Service (KMS): เป็นการเปิดใช้งานโดยใช้โฮสต์ KMS โดยเริ่มต้น Windows แบบโวลุ่มไลเซนส์จะทำการเปิดใช้งานผ่านทาง KMS ได้โดยอัตโนมัติ

รูปที่ 12

9. ในขั้นตอน Manage KMS Host ให้ป้อนหมายเลขผลิตภัณฑ์ KMS (KMS Key เป็นคนละตัวกับ Setup Key นะครับอย่าเข้าใจผิด) เสร็จแล้วคลิก Commit

รูปที่ 13

10. ถ้าหมายเลขผลิตภัณฑ์ KMS ถูกต้อง จะปรากฏหน้า Product key Installation Succeeded โดย Activate Product จะถูกเลือกโดยอัตโนมัติ ให้คลิก Next เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการเปิดใช้งาน KMS Host

รูปที่ 14

10. บนหน้า Activate Product ให้เลือกวิธีการเปิดใช้งาน KMS Host ที่ต้องการ ซึ่งมี 2 วิธี คือ Activate online ซึ่งทำการเปิดใช้งานผ่านทางอินเทอร์เน็ต (เป็นวิธีที่ผมเลือกใช้ครับ) และ Activate by phone ซึ่งทำการเปิดใช้งานผ่านทางโทรศัพท์ เสร็จแล้วคลิก Commit

รูปที่ 15

11. บนหน้า This will activate the KMS host. Do you want to continue? ให้คลิก Yes

รูปที่ 16

12. ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดระบบจะนำคุณไปยังหน้า Activation Succeeded บนหน้านี้ให้คลิก Next

รูปที่ 17

13. ในขั้นตอน Configure Key Management Service Options คุณสามารถปรับแต่งการตั้งค่า KMS Host ได้ตามความต้องการ ในขั้นตอนนี้ผมใช้ค่าที่ระบบกำหนดให้ครับ บนหน้านี้ให้คลิก Commit

รูปที่ 18

14.ในขั้นตอน Configuration Succeeded ให้คลิก Close

รูปที่ 19

15. หลังจากนั้นจะกลับมายังหน้าต่าง Server Manager ซึ่งจะเห็นได้ว่า – VA Services มีสถานะเป็น Activated

รูปที่ 20

การตั้งค่า Windows Firewall
ปกติแล้วระบบจะทำการตั้งค่า Windows Firewall ให้อนุญาตให้ยกเว้นทราฟิกขาเข้าของพอร์ท TCP หมายเลข 1688 ซึ่งใช้สำหรับโฮสต์ KMS ให้อัตโนมัติ โดยคุณสามารถตรวจสอบโดยการเข้าไปยังหน้า Allowed apps ของ Windows Firewall อ่านวิธีทำได้จาก ปัญหา Remote Desktop ไป Windows 10 ไม่ได้

ถึงตอนนี้ KMS Server พร้อมสำหรับให้บริการเปิดใช้ Windows 10 รวมถึง Windows ก่อนหน้าทั้ง 7 และ 8.1 แล้ว และผมขออนุญาตจบการติดตั้ง KMS สำหรับใช้เปิดแอคติเวต Windows 10 ไว้เพียงแค่นี้ก่อนครับ สำหรับรายละเอียดการเปิดใช้งาน Windows 10 ผ่านทางโฮสต์ KMS นั้นจะนำมาฝากในโอกาสต่อไปครับ

สรุป
จากประสบการณ์ที่ได้ใช้งาน KMS ทำการเปิดใช้งาน Windows มาตั้งแต่ Windows 7, 8.1 และ 10 ผลปรากฏว่าภาระงานด้านการเปิดใช้งาน Windows ลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้นถ้าบริษัทของคุณ (บริษัทที่คุณทำงานอยู่) ซื้อซอฟท์แวร์ไมโครซอฟท์แบบโวลุ่มไลเซนส์และมีเครื่องพีซีมากกว่า 25 เครื่อง ขอแนะนำให้เปิดใช้งาน Windows โดยใช้ Volume Activation Services ส่วนจะใช้แบบ KMS (แบบเดียวกับที่ผมใช้) หรือแบบ Active Directory Based ก็แล้วแต่ความสะดวกครับ

ข้อมูลอ้างอิง
Volume Activation for Windows 10
Planning for Volume Activation: Evaluate Client Connectivity
Volume Activation Overview

Share This
Facebooktwitterredditpinterestlinkedinmailby feather
Share.

Comments are closed.